31 ธันวาคม, 2552

แนวทางสำหรับท่านผู้ปกครอง นักกีฬาฟันดาบ

ส่งท้ายปีนี้ กับแนวทางสำหรับท่านผู้ปกครอง ที่กำลังจะนำลูกหลานมาเป็นนักกีฬาฟันดาบ หรือเป็นนักกีฬาฟันดาบแล้ว ผมได้เห็นข้อมูลนี้มาประมาณ แปดปีแล้วเห็นว่ามีประโยชน์พอสมควรจึงขอแนะนำให้ลองศึกษาทำความเข้าใจสำหรับการเตรียมการให้บุตรหลานของท่านมาเป็นนักกีฬาฟันดาบ ข้อมูลนี้( 1 )จัดทำขึ้นโดยสมาคมผู้ปกครองนักกีฬาฟันดาบของประเทศสหรัฐอเมริกา หากมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลอื่นๆเพิ่มเติม ผมยินดีให้คำแนะนำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านผู้ปกครองในชมรมของเรามีแผนที่จะส่งลูกไปเรียนที่อเมริกาหลายท่านทีเดียว

ก่อนอื่นต้องเรียนให้ทราบก่อน ว่าโดยสภาพแวดล้อมทั่วไปของอเมริกามีความต่างกันมากกับของเรา ตั้งแต่ตัวองค์กรบริหารกีฬา กฏหมายที่เกี่ยวข้อง งบประมาณสนับสนุนกีฬา องค์กรที่เกี่ยวข้องอื่นๆเช่นสมาคมโคช ฯลฯ วัฒนะธรรมประเพณี สโมสรหรือชมรมฟันดาบในอเมริกาโดยทั่วไปบริหารจัดการในเชิงธุรกิจ โคชจากยุโรปหลายประเทศย้ายเข้าไปในอเมริกา จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมอเมริกาจึงมีนักกีฬาเก่งๆขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพราะโคชเก่งๆส่วนมากไปอยู่ที่นั่นกัน และโดยลักษณะนิสัยของคนที่นั่นส่วนมากมีความวิริยะอุตสาหะอย่างมาก มีความรับผิดชอบต่อตนเองและต่อสังคมสูง ไฝ่รู้และช่วยเหลือตนเองได้ดี จึงทำให้สภาพแวดล้อมโดยทั่วไปเหมาะสำหรับการเป็นนักกีฬาที่ดีทุกประเภท

1) PARENT GUIDE TO FENCING For parents and fencers 2002
2) A PARENT'S GUIDE TO FENCING. 2007 EDITION. Fencing.Net.
3) PARENT. GUIDE TO. FENCING. For parents and Fencers.
4) Fencing For Parents
5) A PARENT’S GUIDE

หวังว่าคงได้แนวทางเบื้องต้น นำไปปรับใช้ตามความเหมาะสมนะครับ

ในท้ายปีนี้ ที่กำลังจะผ่านไป ปีใหม่กำลังจะมา ขอให้ทุกท่าน จงมีความสุข มีพลังและกำลังใจ ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง

นาย กฤต สตารัตน์

30 ธันวาคม, 2552

เลี้ยงลูกให้เป็นเด็กดีและฉลาดสุดสุด

เลี้ยงลูกให้เป็นเด็กดีและฉลาดสุดสุด
โพสเมื่อ 2009-10-06 01:06:59 โดย anongchu

อาหารดีมีผลกับสมองของลูก เน้นให้ลูกรับประทานอาหารให้ครบ ๕ หมู่ เนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่ว ข้าว แป้ง มัน เผือก ควรทานผักและผลไม้ ดื่มนมและน้ำ ให้ลูกงดเว้นน้ำอัดลม ลูกอม และขนมถุง(อันตรายมากเพราะใส่ผงชูรส)

พ่อแม่ควรส่งเสริมลูกในการด้านเล่นกีฬา เกมส์ กิจกรรมนันทนาการ เช่น ฟุตบอล แบดมินตัน ว่ายน้ำ วิ่ง เทนนิส บาสเกตบอล หมากฮอส หมากรุก เป็น เพื่อสร้างเสริมสุขภาพร่างกายแข็งแรง และรู้จักกฎกติกามารยาทของการกีฬา เป็นการบ่มเพาะนิสัยให้รู้แพ้รู้ชนะและมีน้ำใจเป็นนักกีฬา

คุณพ่อแม่คุณแม่ทั้งหลายโปรดทราบว่า การออกกำลังกายเป็นผลดีกับลูก ทำให้เส้นสมองเชื่อมต่อกันเป็นโครงข่าย ทำให้ลูกฉลาดมาก จัด บรรยากาศภายในบ้านเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของลูก โดยการปิดภาพโปสเตอร์เรื่องดีมีประโยชน์ภาพประกอบสวยงาม แล้วพ่อแม่ชวนลูกอ่าน อ่านให้ลูกฟัง หรือให้ลูกอ่านให้ฟัง การอ่านนิทานให้ลูกฟังก่อนนอน(ควรให้พ่อมีโอกาสอ่านด้วย) เพราะ การอ่านหนังสือเชื่อมโยงสายใยผูกพันระหว่างแม่ลูกอย่างลึกซึ้ง นิทานที่อ่านให้ฟังควรเป็นนิทานสอนใจ ควรเน้นเนื้อหาที่สนุกสนานตื่นเต้นน่าติดตามรับฟัง เมื่อแม่ อ่านจบลองถามคำถามให้ลูกตอบเพื่อตรวจสอบความเข้าใจของลูกว่าสามารถฟังนิทาน รู้เรื่อง หรือให้ลูกลองเล่านิทานเรื่องนั้นให้แม่ฟังอีกครั้งหนึ่ง เพื่อดูพัฒนาการทางภาษาด้านการเล่าเรื่องของลูก ถ้าลูกสามารถอ่านหนังสือออกให้ลูกอ่านให้พ่อแม่ฟัง

พ่อแม่ควรให้ความรัก ความใกล้ชิดกับลูก ถึงแม้ว่าจะรักลูกปานดวงใจเพียงใด แต่อย่ารักมากเกินไป ความรักของพ่อแม่อาจทำร้ายลูกได้ ดังเช่น ตามใจลูกมากเกินไป ลูกเรียกร้องขออะไรก็ต้องได้ ทำให้ลูกติดนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง หรือซื้อของเล่น/เสื้อผ้ามากเกินไป เป็นการสอนลูกให้ฟุ่มเฟือย ไม่รู้จักคุณค่าของสิ่งของที่ใช้สอย หรือให้เงินมาโรงเรียนมากเกินไป เป็นการสอนลูกให้ฟุ่มเฟือย ไม่รู้จักคุณค่าของเงิน พ่อ แม่ต้องสร้างเงื่อนไขในการซื้อของเล่น ค่าขนม ซื้อหนังสือการ์ตูน ต้องอยู่ในระดับพอดีไม่ให้ลูกใช้อย่างฟุ่มเฟือยต้องมีเหตุผลในการจับจ่าย สิ่งของเหล่านี้ พ่อแม่ควรอธิบายให้ลูกฟังบ่อย ๆ ว่าพ่อแม่ทำงานหนักมากเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูลูกและทุกคนในครอบครัว จงช่วยกันประหยัดค่าใช้จ่าย ประหยัดการใช้น้ำ การใช้ไฟ การกินอาหารก็ให้กินให้มด อย่ากินทิ้งกินขว้าง

พ่อแม่ต้องสอนลูกให้รู้จักแบ่งปัน มีน้ำใจ ลูกต้องรู้จักแบ่งปันขนม ของเล่น ให้เพื่อนบ้าง

พ่อ แม่ควรสอนลูกให้รู้จักอดทน อดกลั้น รอคอยให้เป็น จงสอนลูกด้วยเหตุผลไม่ใช่ดุด่าว่ากล่าวแต่เป็นไปเพื่อฝึกให้เด็กสามารถระงับ หักห้ามใจตนเองไม่แสดงฤทธิ์แสดงเดช โวยวาย เรียกร้อง ก่อกวน มิฉะนั้นจะเป็นการบ่มเพาะนิสัยเอาแต่ใจตัวให้ลูกนิสัยนี้แก้ไขยากเมื่อโต ขึ้น

รู้จัก การให้ รู้จักหน้าที่ และมีความรับผิดชอบช่วยงานตามสมควร ลูกต้องรู้จักหาน้ำให้พ่อแม่ดื่ม ช่วยแม่ยกของเล็ก ๆ น้อย ช่วยแม่หยิบของนิด ๆ หน่อย ๆ ช่วยแม่ทำงานบ้านเล็ก ๆ น้อย เช่น รดน้ำต้นไม้ในกระถางเล็ก ๆ กวาดห้องนอนของตัวเอง เก็บเสื้อผ้าของตัวเองลงตะกร้า พับเสื้อผ้าของตนเอง เก็บของเล่น เหล่านี้เป็นต้น จงอย่ากลัวว่าลูกจะลำบาก นี่คือปลูกฝังลักษณะนิสัยที่ดีให้ลูก เพื่อวางรากฐานการเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต

จง สอนลูกให้เป็นเด็กที่มีวินัย ยกตัวอย่างเช่น นอนเป็นเวลา ตื่นเป็นเวลา ดูโทรทัศน์เป็นเวลา(อย่าตามใจให้นอนมากเกินไป จะบ่มเพาะความเกียจคร้านให้ลูก) ฝึกนิสัยให้ลูกช่วยเหลือตนเองด้วยการหัดใส่เสื้อผ้าแต่งตัวเอง อาบน้ำ ขับถ่าย แปรงฟัน ดื่มน้ำ กินข้าว ให้สามารถช่วยตัวเองได้ แต่แม่ควรคอยดูแลอย่างใกล้ชิด รวมทั้งชมเชยที่ลูกสามารถทำอะไรได้ด้วยตนเอง

พ่อแม่ต้องสอนมารยาทให้ลูกรู้จักพูดคำสุภาพ ขอบคุณครับ สวัสดีครับ ขอโทษครับ ตามจังหวะและโอกาสอันควร

พ่อแม่ควรสอนลูกให้อ่อนน้อม ฝึกลูกให้ไหว้พ่อแม่ก่อนไปโรงเรียน และเมื่อกลับจากโรงเรียนทุกวัน

พ่อ แม่ควรสอนลูกให้รู้จักการวางตัวและแสดงออกในสถานที่ต่าง ๆ เช่น บ้าน ร้านค้า งานสังคมต่าง ๆ ควรสร้างเงื่อนไขก่อนออกจากบ้านเพื่อให้ลูกวางตัวให้เหมาะสม มิฉะนั้นจะควบคุมพฤติกรรมลูกไม่ได้ ลูกจะดื้อซน โวยวาย งอแงขอกลับบ้าน เรียกร้องความสนใจต่าง ๆ ต้องสร้างภาพลักษณ์ที่ดีงามของครอบครัวพร้อม ๆ กับปลูกฝังมารยาทอันดีงามให้ลูกตามแบบวัฒนธรรมไทย

พ่อแม่ควรระแวดระวังการใช้คอมพิวเตอร์ของลูก ให้ลูกใช้คอมพิวเตอร์ในที่ ๆ พ่อแม่สามารถมองเห็นเพื่อพ่อแม่จะได้คอยสอดส่องดูแลเพื่อป้องกันมิให้ลูกใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่ผิด

พ่อแม่ต้องปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมให้แก่ลูก ด้วยการสอนลูกให้ไหว้พระสวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน สอนลูกไม่ให้รังแกสัตว์ สอนลูกไม่ให้หยิบของเพื่อนโดยไม่ได้รับอนุญาต สอนลูกไม่ให้พูดโกหก เมื่อมีโอกาสควรพาลูกไปรู้จักวัด เข้าร่วมพิธีทางศาสนา ทำบุญตักบาตร เวียนเทียน ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนเองนับถือ

พ่อ แม่ควรส่งเสริมลูกด้านศิลปะและดนตรี จะทำให้ลูกรู้จักสุนทรียภาพของธรรมชาติ ได้แก่ แม่น้ำ ลำคลองภูเขา ป่าไม้ โบราณสถาน โบราณวัตถุ สอนลูกให้ฟังดนตรี เปิดดนตรีคลาสสิกให้ลูกฟังก่อนอนบ้างเพราะเป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างความ เชื่อมโยงระหว่างเชลล์สมอง ทำให้ลูกฉลาด จิตใจดีงาม

พ่อ แม่ควรสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองให้แก่ลูก ให้ลูกกล้าเผชิญสถานการณ์บางอย่างด้วยความเป็นตัวของตัวเอง อย่าสร้างความกลัวให้ลูกด้วยการหลอกหรือขู่ให้ลูกกลัว เช่น ตุ๊กแก งู ผี แมงมุม ฯลฯ จงให้เหตุผลอธิบายสิ่งต่างๆ กับลูกตามความเป็นจริงเพื่อให้ลูกไม่กลัวอะไรง่าย ๆ โดยไร้สาเหตุ เพราะอารมณ์ความรู้สึกกลัว ความเกลียดชัง ความเบื่อหน่าย จะสกัดกั้นความเจริญเติบโตทางสมองของลูก

พ่อ แม่อย่ารักลูกมากจนยอมจำนนต่อลูกให้ลูกข่มขู่ต่าง ๆ นานา เช่น ไม่ทานข้าว ไม่ไปโรงเรียน ไม่ใส่เสื้อผ้า ไม่อาบน้ำ ไม่แปรงฟัน ร้องไห้งอแง ดิ้น ชัก ปาข้าวของ งอนไม่ยอมพูดยอมจา จงอย่ายอมให้ลูกข่มขู่ จงอย่าให้ความรักที่พ่อแม่มีต่อลูกถูกลูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำร้ายลูก จงใช้วิธีไม่เอาใจใส่ เพิกเฉย แล้วปรามลูกว่า พ่อแม่ไม่รักเด็กดื้อ เด็กเกเร ลูกกลัวว่าพ่อแม่ไม่รักจะไม่กล้าแสดงฤทธิ์แสดงเดชเพื่อเรียกร้องกับพ่อแม่ อีก

พ่อแม่จะต้องส่งเสริมความฉลาดให้ลูก ยกตัวอย่างเช่น

- ลูกต้องฝึกหัดทำงานบ้านตามสมควร

- ลูกต้องฝึกเล่นของเล่น เล่นกับพ่อแม่ เล่นกับเพื่อน

- ลูกต้องฝึกทักษะบางอย่าง เช่น ขี่จักรยาน เก็บของเล่น พับเสื้อผ้า ติดกระดุม ผูกเชือกรองเท้า ฯลฯ

- ลูกต้องฝึกอ่านหนังสือ

- ลูกควรดูโทรทัศน์ที่เหมาะสมกับวัยของลูก

- ลูกควรมีโอกาสเล่นกีฬา กิจกรรมนันทนาการ ตามความสนใจและเหมาะสมกับวัยของลูก

- ลูกควรมีโอกาสไปทัศนศึกษาที่สวนสัตว์ สวนสนุก ห้องสมุด สวนสาธารณะ ทะเล น้ำตก ป่าไม้ ภูเขา เพื่อเปิดหูเปิดตาให้กับลูกเห็นโลกกว้าง

- สอนลูกให้รู้จักรักธรรมชาติสิ่งแวดล้อม เช่น ภูเขา ทะเล น้ำตก ต้นไม้ ภูเขา และสอนลูกให้รักษาสิ่งแวดล้อม ให้รู้จักทิ้งขยะให้เป็นที่

คุณพ่อแม่สามารถสร้างลูกให้เป็นอย่างไรได้ด้วยความรัก ต้องทุ่มเทด้วยกำลังกาย สองมือ กำลังสติปัญญา กำลังทรัพยากรที่มีทั้งหมด และที่สำคัญต้องเอาใจใส่อย่างต่อเนื่อง แน่นอนที่สุด ลูกคุณจะเป็นเด็กดีและฉลาดสุดสุด อย่างหาตัวจับได้ยากในสังคมไทยและสังคมโลก

อีกขั้นหนึ่งของการฝึกลูกให้เป็นนักกีฬา

อีกขั้นหนึ่งของการฝึกลูกให้เป็นนักกีฬา
จาก นิตยสารแม่และเด็ก M&C - อีกขั้นหนึ่งของการฝึกลูกให้เป็นนักกีฬา

พ่อแม่อเมริกันเมื่อรู้ลูกมีพรสวรรค์ทางกีฬา จะจ้างโค้ชส่วนตัวให้ทำหน้าที่พัฒนาฝีมือการเล่น เพราะการเล่นกีฬาเก่งในสังคมอเมริกัน เป็นประตูไปสู่การมีอาชีพที่มั่งคั่งและมากมายด้วยชื่อเสียง นอกนั้นแล้ว ยังจะประหยัดค่าเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เพราะทุกมหาวิทยาลัยในอเมริกาจะมีทุนการศึกษาสำหรับผู้มีพรสวรรค์ทางกีฬา
ทั้งนี้ ในสมัยที่ผ่านมา โค้ชที่จ้างส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เคยเล่นกีฬาที่ตัวเองสอน จนมีชื่อเสียงพอสมควร และพร้อม ๆ กับเรียนจบพลศึกษา ซึ่งสิ่งที่พวกนี้จะสอนคือ การออกกำลัง การฝึกการเล่น การกินอาหาร และการพักผ่อน โดยกำหนดเป็นตาราง แล้วให้ปฏิบัติตาม พร้อมกับมีการติดตามผลทุกระยะ
แต่พอมาถึงสมัยนี้ การสอนเช่นนี้ไม่เพียงพอเสียแล้ว เพราะเคล็ดต่างๆ ได้ถูกเปิดเผยหมด ไม่มีอะไรที่คนอื่นไม่รู้ เพียงเปิดนิตยสาร เปิดคอมพิวเตอร์หาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต หรือไปซื้อหนังสือมาอ่าน พ่อแม่ที่อยากให้ลูกเล่นกีฬาเก่ง ก็สามารถเป็นโค้ชเองได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ การฝึกจึงต้องก้าวขึ้นไปอีกขั้น
นั่นคือ การส่งลูกไปฝึกตามโรงยิมที่เรียกว่า sports performance training center หรือศูนย์ฝึกสมรรถภาพทางกีฬา ที่กำลังเปิดกันราวกับดอกเห็ด ซึ่งที่ศูนย์นี้เด็กที่โชว์แววทางกีฬา จะได้รับการฝึกเกี่ยวกับการเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อและกำลังจิตใจ เพื่อจะได้เล่นกีฬาเก่งขึ้นอีก และมีโอกาสเป็นนักกีฬาดีเด่นมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ศูนย์ดังกล่าวส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ ซึ่งขณะนี้ที่เด่นดังที่สุดมีด้วยกัน 3 ยี่ห้อ Velocity ซึ่งเปิดทั่วประเทศ มีนักกีฬาเด็กเข้าฝึกประจำ 47,000 คน Athletic Republic เปิดทั่วประเทศเช่นกัน มี 36,000 คน และ CATZ เปิดเพียง 4 รัฐ มี 6,500 คน จำนวนอาจดูน้อย แต่ถ้าเทียบกับของปีก่อนๆ เป็นจำนวนที่โตเร็ว อย่าง Velocity ซึ่งมีผู้เข้าฝึกปีแรกเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เพียง 10,000 คน Athletic Republic มี 27,000 คน ตอนเปิดปีแรก 2 ปีที่แล้ว และ CATZ มี 1,500 คน ตอนเปิดปีแรกปีกลาย
โดยทุกคนจะเข้าไปด้วยความสมัครใจ เพราะส่วนใหญ่รู้เรื่องการฝึกดีอยู่แล้ว และเคยทราบมาก่อนแล้ว การฝึกเพื่อเพิ่มสมรรถภาพทำไมถึงดี ซึ่งแต่ก่อนการฝึกแบบนี้จะมีเฉพาะที่เป็นโรงยิมของมหาวิทยาลัย หรือสโมสรกีฬาของคนชั้นสูง เนื่องจากจะต้องใช้เนื้อที่มาก เพื่อจะได้พอสำหรับการวิ่งและการกระโดด และจะต้องใช้เครื่องมือทันสมัย ที่เป็นเครื่องมือออกแบบเฉพาะ ยกตัวอย่างเช่น เครื่องวิ่งออกกำลังบนสายพาน ที่สามารถปรับความเร็วให้เร็วขึ้นหรือช้าลง คล้ายกับการวิ่งของนักกีฬาในสนาม เพื่อผู้ฝึกจะได้รู้จักกำหนดการวิ่ง ให้ตรงตามสถานการณ์การเล่น เช่น เวลาจะแย่งลูก เพราะอย่างที่ทราบ การแย่งลูกมีความสำคัญ ถ้าใครแย่งลูกเก่ง มักเป็นนักกีฬาเก่งไปด้วย
แต่โดยรวม ผู้ที่ไปฝึกจะไปเพราะความโอ่อ่าของศูนย์ ซึ่งเป็นโรงยิมที่ได้รับการออกแบบอย่างดี และมีสถานที่บริการครบครัน ไม่ว่าจะเป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ห้องอาบน้ำ หรือห้องพักผ่อน ทำให้เวลาเข้าไป รู้สึกเหมือนโรงยิมส่วนตัว ต้องการอะไร มีทั้งนั้น
และยังมีประเด็นของโค้ชหรือครูฝึกที่นี่ ซึ่งจะต่างกับที่โรงเรียนหรือที่จ้างส่วนตัว ตรงที่ส่วนมากจะเป็นผู้ชำนาญด้านสรีรศาสตร์ออกกำลัง หรือ EXERCISE PHYSIOLOGIST คือพวกนี้จะเคยเป็นนักกีฬาเหมือนโค้ชทั่วไป รวมทั้งเคยเรียนพลศึกษา แต่หลังจากนั้นจะไปเรียนเพิ่มทางด้านสรีรศาสตร์ เพื่อจะได้ความรู้เกี่ยวกับการใช้กล้ามเนื้อและมันสมองในการเล่นกีฬา
นัยว่า ใครเรียนมาทางนี้ ตอนนี้กำลังเป็นที่ต้องการ เนื่องจากอย่างที่บอกแล้ว ตอนนี้การฝึกเพื่อเป็นนักกีฬาได้ก้าวถึงระดับฝึกเพื่อเพิ่มสมรรถภาพทางกีฬา ค่าฝึกตกระหว่าง 30 - 40 เหรียญต่อครั้ง ซึ่งนอกจากจะได้ฝึกตามที่กำหนดเป็นตาราง ยังจะได้คำแนะนำและข้อสังเกตจากนักสรีรศาสตร์ออกกำลัง เพื่อนำไปปรับปรุงและปฏิบัติเพิ่มเติม เวลาฝึกที่บ้านหรือโรงเรียน ทั้งนี้การฝึกทั้งที่บ้านและโรงเรียนยังมีความสำคัญ เพราะการไปฝึกที่ศูนย์จะไปกันเพียงเดือนละ 2 - 4 ครั้ง มากน้อยขึ้นอยู่กับอายุและความจำเป็นในการเตรียมร่างกาย อย่างเช่น ถ้าเป็นเวลาใกล้ฤดูแข่งขัน ก็คงต้องไปบ่อย เพื่อร่างกายจะได้ทันการใช้งาน
ใครก็ได้สามารถไปฝึก ถ้ามีอายุ 8 ขวบขึ้นไป แต่ส่วนใหญ่จะมีอายุระหว่าง 12 - 15 ปี ซึ่งเป็นวัยที่เด็กมักตัดสินใจ แล้ว อยากเป็นนักกีฬาดัง และพ่อแม่มองเห็นพรสวรรค์ในตัวลูก รวมทั้งเป็นวัยที่ร่างกายกำลังโตวันโตคืน เหมาะกับการปรับให้ตรงตามความต้องการของกีฬาประเภทที่อยากเอาดี
แต่มีเรื่องแปลกใจนิดหน่อย ในศูนย์ยังมีเด็กที่ไม่อยากเป็นนักกีฬาไปฝึก พวกนี้สังเกตง่ายจากการมีร่างกายไม่สมส่วน เช่น อ้วนหรือผอมไป นอกจากนี้ยังมีท่าทางงกๆ เงิ่นๆ เวลาฝึก เนื่องจากไม่เคยออกกำลัง อย่าว่าแต่เล่นกีฬา ซึ่งสาเหตุที่ไปฝึกคือ พ่อแม่เองส่งไป เพราะอยากให้ลูกมีร่างกายเหมือนเพื่อน รวมทั้งอยากให้ลูกเล่นกีฬาบ้าง
แน่นอน เมื่อไปตอนแรกๆ เด็กพวกนี้ย่อมมีความลำบากในการปรับตัว เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำ ไหนจะต้องฝึก ไหนจะต้องรู้จักกินอาหาร ไหนจะต้องรู้จักพักผ่อน แต่ถ้าไปเป็นประจำและปฏิบัติตามตาราง ต่อไปเด็กจะกลายเป็นคนละคน จนพ่อแม่อดไม่ได้ที่จะภูมิใจ
การส่งลูกไปฝึกที่ศูนย์เพิ่มสมรรถภาพทางกีฬา เป็นการเลี้ยงลูกอีกวิธีที่น่าจะมีพ่อแม่ไม่น้อยสนใจ เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าประเทศไหน พ่อแม่มักอยากให้ลูกเรียนเก่ง เพื่อจะได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย และจบออกมามีงานทำที่ดี โดยขณะเดียวกัน มีเหมือนกันพ่อแม่ที่อยากให้ลูกเก่งทางดนตรีหรือการแสดง เพื่อจะได้โตเป็นนักร้องและนักแสดง ซึ่งเป็นอาชีพที่คนไม่น้อยใฝ่ฝัน
แต่ล่าสุด ยังมีพ่อแม่ที่อยากให้ลูกเล่นกีฬาเก่ง เพื่อจะได้โตเป็นนักกีฬาอาชีพ ซึ่งพ่อแม่แบบในไทยกำลังทวีจำนวน

29 ธันวาคม, 2552

พรปีใหม่ 2553


25 ธันวาคม, 2552

Merry christmas

21 ธันวาคม, 2552

16th Thailand Open Fencing Championships 2009 , 2 เงิน 1 ทองแดง

ทีมเซเบอร์หญิง ฮ่องกง มารักษาแชมปฺ์ ในรายการนี้ ทั้งประเภทบุคคลและทีม โดย ทีมจากชมรมเราในนาม ม.กรุงเทพ ได้เหรียญเงินทั้งสองประเภทและเหรียญทองแดงบุคคล หลังจากห้าปีผ่านมาที่เราเคยได้ เหรียญทองแดงจากประเภททีมในนามกองทัพภาคที่ 4 วันนี้ทีมฮ่ิองกงที่มีความแข็งแกร่ง เป็นรองแค่ จีน และเกาหลี เท่านั้นก็ยังรักษาความสามารถไว้ได้ค่อนข้างดีเหมือนเดิม ภายใต้การควบคุมทีมโดยโคชชาวฮังกาเรียนจำนวน สามคนดูแลพัฒนาดาบเซเบอร์ของฮ่องกงตามแผนของสมาคมฮ่องกงฯ จากแนวคิดของจีนใหญ่ที่มุ่งมั่นจะทลายกำแพงความแข็งแกร่งของนักดาบยุโรป จึงได้มอบนักกีฬาในระดับทอปเทน มาให้ฮ่องกงเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง ในทีมดาบเซเบอร์หญิงฮ่องกงที่มาร่วมแข่งในรายการนี้ มีตัวจีนที่ย้ายมาด้วยสองคน ตัวเก่าหนึ่งคน ตัวใหม่ที่พึ่งจะเลื่อนขึ้นมาจากเยาวชนยี่สิบปีอีกหนึ่งคน ผลงานเราครั้งนี้จัดว่าทอปฟอร์มที่สุดแล้ว จากความร่วมมือในการทำการฝึกซ้อมทั้งตัวนักกีฬาและท่านผู้ปกครอง ผมขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย ทีมเยาวชนเราที่ผมสร้างขึ้นมาด้วยความมุมานะ ด้วยความหวัง ด้วยความทุ่มเท ภายใต้ความจำกัดในทุกๆด้าน ได้เห็นผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน ตามแผนที่ชมรมเราวางไว้ เรียกว่าเกินเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ พี่พลอยเก็บตัวที่มาจากแผ่นดินดินใหญ่ได้หนึ่ง ไปเข้าชิงกับตัวจีนแผ่นดินใหญ่ ส่วนน้องแป้งจัดการตัวแชมป์เยาวชนที่พึ่งเลื่อนขึ้นมาได้สำเร็จ หลังจากเข้าโปรแกรมเก็บตัวฝึกซ้อมภายในชมรมของเราต่อเนื่องมาตลอดปี นักกีฬาที่เป็นเพียงลูกหลาน คนสอนเป็นแค่ตาแป๊ะ กับผู้ปกครองที่อยากให้ลูกมาเล่นกีฬา ความร่วมมือร่วมใจสามประสานนี้ ก่อให้เกิดพลังอันยิ่งใหญ่ ที่ชมรมฟันดาบเล็กๆสามารถสร้างประวัติศาสตร์ให้กับแผ่นดินนี้ได้ อย่างที่ไม่เคยมีผู้ใดทำได้มาก่อน ในระดับเซ้าท์อีสอาเซียน นับแต่วันนี้ไปเราจะทำให้ดีกว่านี้ ด้วยประสพการณ์ และความพยายามในการลดข้อจำกัดลงให้มากที่สุด โดยไม่ประมาทคู่แข่ง

จีน เกาหลี ฮ่องกง และ ญี่ปุ่น สี่ประเทศนี้ มีการเตรียมการจัดการกับทีมดาบเซเบอร์หญิงของตนเองมาอย่างดี สมาคมฯสร้างนักกีฬาจากการคัดสรรคนเก่งจากนักกีฬาจำนวนมาก อีกทั้งการขอตัวนักกีฬาที่เก่งมากแต่ไม่ได้เข้าโอลิมปิกไปอยู่อีกประเทศหนึ่ง หาโคชที่ดีที่สุดในโลกมีผลงานระดับโลกมาทำทีม วางแผนการฝึกให้นักกีฬามีความพร้อมสำหรับการลงทำการแข่งขันในรายการระดับโลกตลอดเวลา นักกีฬามีตวามพร้อมตอบสนองโปรแกรมการฝึกของโคชได้โดยไม่มีข้อจำกัดทางการศึกษาหรือมีน้อยมาก ไปแข่งเมื่อไหร่เราก็จะเจอสี่ประเทศนี้ทุกครั้ง จีนตอนนี้ใช้โคชฝรั่งเศส เกาหลีใช้โคชภายใน ฮ่องกงใช้ทีมโคชสามคนจากฮังการี่ ญี่ปุ่นใช้โคชภายใน แถมจีนเล็กไต้หวันตอนนี้ใช้โคชรัสเซียระดับสุดยอดมาประมาณสองปีแล้ว ทำทีมหญิงยังไม่ขึ้นแต่ทีมชายดีวันดีคืน ยอมรับว่าทำทีมขึ้นมาเร็วมากๆ ทีมหญิงคงมาในเร็วๆนี้ จากสี่จะกลายเป็นห้า

ทั้งหมดทั้งปวง ผมยอมให้แค่ประเทศเดียวเท่านั้น แบบไม่เต็มใจยอมคือ จีน
กว่าจะได้มาซึ่งศักดิ์ศรีของความเป็นทีม ชาติที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนไม่ธรรมดาทั้งสิ้น ดั้งนั้นถ้าเราถอดใจเมื่อไหร่ช่วงห่างจะยิ่งมากขึ้นและมากขึ้น ทรัพยากรเท่าที่มีอยู่ทั้งหมดเท่าที่จะหามาได้ จากทุกฝ่ายระดมมาทำกัน

ชมรมมาตรฐานในฮังการี มีนักกีฬาอย่างน้อย 150 คน ชมรมเรา มีเด็กๆแค่ 15 คน หญิงห้าชายสิบ เหนื่อยจังเวลาคิดถึงคู่ต่อสู้ เมื่อชอบก็ต้องทำต่อไป ยาวๆเราคงได้นักกีฬาที่มีศักยภาพที่ดีมากขึ้นตามลำดับ เป้าหมายหลักคือ เป็นที่สองรองจากจีนเท่านั้นที่พอจะยอมทำใจรับได้ นอกนั้นรับไม่ได้ทั้งหมด จะทำให้ได้เราก็ต้องไม่ธรรมดาเหมือนกัน ถ้ามัวแต่รออย่าว่าแต่เป็นหนึ่งในเซ้าท์อีสอาเซียนเลย แค่ลาวก็น่าจะไม่ผ่านแล้ว ไม่เชื่อคอยดู สตาร์เฟนซิ่งสาขาลาวในอนาคต







20 ธันวาคม, 2552

คบเด็กสร้างบ้าน อย่าได้หวังคิดทำงานใหญ่

ดีชั่วไม่รู้จักแยกแยะ ถูกผิดไม่รู้จักใส่ใจ ไม่่รู้จักสำนึกในบุญคุณ ก้าวร่วงเรื่องราวส่วนตัวคนอื่น ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด เหตุอันใดควรอันใดไม่ควรอ้างไม่รู้เรื่อง เช่นนี้แล้วใครจะคบหาก็คบ กูไม่เอา ไอ้พวกเห็นแก่ตัวโง่ๆ เสียเวลา

กูอยู่บนแผ่นดินนี้ ไม่เอาเปรียบผู้ใด ทำดีมากกว่าเลว ใครไม่คบก็เรื่องของมึง ง่ายๆไม่ต้องมาเบียดเบียนกัน คนเป็นคนดีไม่ต้องสอนมันก็ดี คนไม่ดีสอนยังไงมันก็ดียาก ดีเป็นยังไง ถ้าไม่รู้จัก เค้ามักไม่เรียกว่าเป็นคนเค้าเรียกเหี้ย

คนดีไม่ดี ไม่เกี่ยวการการพูดเพราะหรือไม่เพราะ เกี่ยวที่ความดีที่มีในหัวใจอย่างเดียวเท่านั้นทำให้เลือกทำแต่สิ่งดี ถ้ามีชาติหน้าจริง กูก็พูดแบบนี้อีก หรอยดี

จำเอาไว้ ว่ากูไม่เคยล้อเล่นกับใคร อย่าเอาความพยายามในการทำความดีของกูเป็นเครื่องมือ ไปสร้างปัญหาที่อื่นอย่ามาใกล้กู น่ารังเกียจ ทำกับใครมาหลายคนได้ใจ ควายแกล้งฉลาด เหลิง เมื่อก่อนไม่เชื่อใครมาพูด ตอนนี้เจอเองกับตัว ขอบใจนะที่แสดงให้กูรู้ตัว

กูเอง ตาแป๊ะ รมดีเกือบทุกวันอะนะ บันทึกไว้เตือนใจ กันลืม กันใจออ่อน

07 ธันวาคม, 2552

การสื่อสาร

การเข้าใจผิด และการสื่อสารที่คลาดเคลื่อนนั้นส่งผลให้เกิดการสูญเสียเวลา ทรัพยากร รวมทั้งความสัมพันธ์ที่ดีในองค์กร การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพจึงนับได้ว่าเป็นทางลัดสู่เป้าหมาย ด้วยเหตุนี้ การสื่อสารที่ถูกต้องนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนในองค์กร

เทคนิคการสื่อสารของผู้บริหารภายในองค์กร
โดย...เมธี ปิยะคุณ
รองผู้อำนวยการสำนักการศึกษาต่อเนื่อง
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
(เรียบเรียงเนื้อหาจากบทวิทยุกระจายเสียง ปี 2550)

ความหมายและความสำคัญของการสื่อสาร
การสื่อสารเป็นพฤติกรรมตามธรรมชาติของมนุษย์ในฐานะที่เป็นสัตว์สังคม การเรียนรู้การทำความเข้าใจในเรื่องของการ
สื่อสารจึงเป็นการศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์ซึ่งมีพฤติกรรมการสื่อสารที่ซับซ้อนมากกว่าสัตว์มากมาย แต่สำหรับคนเราในชีวิตประจำวัน
มักจะมีการติดต่อสื่อสารกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าสื่อสารกับผู้อื่นหรือสื่อสารกับตนเอง ในลักษณะของการสื่อสารตนเอง เช่น ครุ่นคิดอยู่
กับตัวเองก็ถือว่าเป็นการสื่อสาร เมื่อใดที่ประสบปัญหาในการสื่อสารจึงจะสะดุดในว่ามีอุปสรรคอะไรที่ทำให้การ สื่อสารนั้นผิดพลาด
หรือล้มเหลวและเมื่อนึกถึงการสื่อสารที่ราบรื่นมาก่อนหน้าก็บอกไม่ได้เหมือน กันว่าอะไรเป็นปัจจัยที่ช่วยให้การสื่อสารสัมฤทธิ์ผล
อย่างมีประสิทธิภาพ ฉะนั้นคำว่าการสื่อสารซึ่งตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า Communication เป็นคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษา
ลาตินว่า คอมมิวนิสต์ก ซึ่งแปลตรง ๆ เป็นการร่วมกันในเรื่องของข่าวสาร ในเรื่องของข่าวสาร ในเรื่องของความรู้สึกนึกคิด การ
กระทำหรือความคิดเห็น ฉะนั้นการสื่อสารจึงมีความหมายถึง สิ่งที่ทำให้มนุษย์เข้าใจกันระหว่างบุคคลหรือกลุ่มบุคคล จะมีผู้ส่งสารรับสารติดต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นทางวาจาหรือการกระทำ การแสดงออกหรือการแฝงความรู้สึกอยู่ข้างใน แล้วก็การใช้ท่าทางภาษา
คำพูดต่าง ๆ บางคนอาจจะแสดงออกทางผลงานของตนเองให้ผู้อื่น เช่น งานศิลปะต่าง ๆ ที่ถ่ายทอดออกมาจากเป็นภาพที่ได้ไปจัด
นิทรรศการแล้วได้ไปเห็นชื่นชมผลงานของเขาก็เป็นวิธีการสื่อสารลักษณะหนึ่ง ฉะนั้นเมื่อรู้ความหมายของการสื่อสารแล้วสิ่งที่จะ
ตามมาคือองค์ประกอบของการสื่อสาร ประกอบไปด้วย 5 องค์ประกอบหลัก ๆ คือ องค์ประกอบแรกสิ่งที่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ผู้ส่ง
ข่าวสาร ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Sender องค์ประกอบที่ 2 เมื่อจะส่งสารไปก็ต้องมีข้อมูลที่ส่งออกไปเรียก Masses ส่วนองค์
ประกอบที่ 3 คือช่องทางการสื่อสารเขาใช้คำว่า channel แล้วเมื่อส่งมาเสร็จก็ต้องมีผู้รับสาร ใช้คำว่า Receiver และสุดท้ายคือ
เมื่อมีการส่งสารก็จะต้องมีการตอบสนองจากผู้รับสารกลับมายังผู้ส่งสาร คือความหมายของการสื่อสารก็ต้องมีองค์ประกอบของ
การสื่อสารที่ได้กล่าวมา

กระบวนการสื่อสาร

กระบวนการสื่อสารพูดให้เกิดความเข้าใจเมื่อรู้ว่าในลักษณะการสื่อสารจะต้องมีผู้ส่งผู้รับ แล้วก็มีช่องทางการที่จะนำข้อมูล
ตรงนี้ไปถึงผู้รับ ผู้รับก็จะมีการสนองตอบ ฉะนั้นก็จะต้องเป็น โดยทั่วไปจะเริ่มต้นจากผู้ส่งข่าวสาร ทำหน้าที่เป็นคนเก็บรวบรวมแนว
ความคิดหรือข้อมูลต่าง ๆ จากแหล่งข้อมูล เมื่อต้องการส่งข่าวไปยังผู้รับข่าวสารก็จะแปลแนวความคิดหรือข้อมูลนั้น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ออกมาเป็นตัวอักษร เป็นน้ำเสียง เป็นสี เป็นการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องถือว่าเป็นการสื่อสาร ซึ่งเราเรียกสิ่งนี้ว่า
ข่าวสารจะได้รับการใส่รหัสก็ส่งไปยังผู้รับข่าวสาร โดยจะมีสื่อเขาเรียกว่าผ่านสื่อกลางในช่องทางของการสื่อสารนั้น ๆ แต่ละประเภท
สุดแท้แต่แล้วก็อาจส่งจากผู้ส่งข่าวสารไปยังผู้รับข่าวสารโดยตรงก็ได้ เช่น การคุยกัน ระหว่างคน 2 คน ถือว่าเป็นการสื่อสารกันโดย
ตรง โดยวิธีการนั้น หรือผู้รับข่าวสารเมื่อได้รับข่าวแล้วก็จะถอกรหัสแล้วตามความเข้าใจและประสบการณ์ในอดีต หรือสภาพแวดล้อม
ในขณะนั้น ๆ ก็คือผู้รับจะต้องแปลตรงนั้นออกมาว่า จากสิ่งที่เรารับรู้เกิดความเข้าใจยังไงแล้วเราก็นำประสบการณ์หรือสภาพต่าง ๆ
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแปลข้อมูลที่เขาส่งมา และมีปฏิกริยาตอบสนองไปยังผู้ส่งข่าวสารซึ่งผู้ในรูปของความรู้ความเข้าใจ การ
ตอบรับหรือจะมีการปฏิเสธสุดแล้วแต่ หรือการนิ่งเงียบก็เป็นไปได้ ทั้งนี้ข่าวสารที่ส่งถูกส่งออกไปผู้ส่งอาจจะไม่ถึงผู้รับข่าวสารทั้ง
หมดก็เป็นได้ หรือข่าวสารอาจจะถูกบิดเบือนไปก็เพราะในขบวนการต่าง ๆ ของการสื่อสารซึ่งย่อมมีโอกาสเกิดขึ้น อาจจะเกิดจาก
สิ่งรบกวน หรือตัวแทรกแซงต่าง ๆ ทุกขั้นตอนของการสื่อสาร นั่นคือขบวนการพูดให้เห็นภาพให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น

วิธีการสื่อสารที่ดี
การสื่อสารที่ดีผมสรุปไว้ให้ 7 ซี
ซีตัวที่ 1 credibility คือความน่าเชื่อถือ หมายถึงสารที่สามารถทำให้ผู้รับสารเกิดความเชื่อถือในสารนั้น ๆ
ตัวที่ 2 คือ content สาระ ว่าสารนั้นมีสาระให้เกิดความพึงพอใจ เร่งเร้าและชี้แนะให้เกิดการตัดสินใจได้ในลักษณะอย่างไรบ้าง
ตัวที่ 3 คือ clearly ความชัดเจน หมายถึงการเลือกใช้คำหรือข้อความที่เข้าใจง่าย ๆ ข้อความไม่คลุมเครือนั่นเอง
ตัวที่ 4 คือ context ความเหมาะสมกับโอกาส หมายถึง การเลือกใช้ภาษาและใช้สิ่งที่ส่งสารตลอดจนผู้รับเหมาะสมกับสังคม
วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมนั้นๆ เพียงใด
ตัวที่ 5 คือ channel ช่องทางการส่งสาร หมายถึง การเลือกวิธีการส่งข่าวสารได้เหมาะสมและรวดเร็วที่สุดในลักษณะไหน
ตัวที่ 6 คือ continuity consistency ความต่อเนื่องและแน่นอน การสื่อสารกระทำอย่างต่อเนื่องมีความแน่นอนถูกต้อง
ตัวที่ 7 clarity of audience ความสามารถของผู้รับสารนั่นเอง หมายถึงการเลือกใช้วิธีการส่งสารซึ่งมั่นใจว่าผู้รับสารจะสามารถ
รับสารได้ง่ายและสะดวกโดยคำนึงถึงความรู้ เจตคติ อุปนิสัย ทักษะการใช้ภาษา สังคมวัฒนธรรมของผู้รับสารเป็นสำคัญ
นั่นคือ 7 ซี สำหรับการสื่อสารที่ดี
เทคนิคการสื่อสารของผู้บริหารภายในองค์กร
แนวความคิดของการก่อให้เกิดบรรยากาศของการสื่อสารที่ดีรวมทั้งให้มีบรรยากาศที่จูงใจให้คนอยากทำงาน เป็นสิ่งที่ต้อง
ให้ความเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดในการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมนานัปการ ตั้งแต่เรื่องที่มีความสำคัญในการจัดการกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่
ไม่อาจจะมองข้ามความสำคัญไปได้ ฉะนั้นผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จในการทำงานต้องเป็นนักสื่อสารที่ดี และเป็นผู้ที่มีความ
สนใจเกี่ยวกับเรื่องของคน เพราะการจัดการทุกอย่างจะต้องให้ความสนใจไปที่คน แต่เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจว่าผู้บริหารหลายคน
มองข้ามไปในการที่จะใช้วิธีการที่มุ่งถึงคนเป็นหลัก และเขาก็จะเป็นผู้บริหารที่จะต้องเผชิญกับปัญหาในการสื่อสารอาจเป็นสาเหตุให้เกิดความล้มเหลวในงานโดยตรง แล้วก็สาเหตุนั้นก็เกิดความไม่ใส่ใจในสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็จะมองข้ามก็จะเป็นปัญหาขององค์กร
ฉะนั้นผู้บริหารทุกคนทุกระดับต้องทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานให้ข่าวสาระหว่างแต่ละฝ่าย แล้วก็เป็นบุคคลที่เหมาะสมที่จะสื่อสารกับ
บุคลากรอย่างได้ผล นอกจากนี้ผู้บริหารจะต้องเป็นแหล่งข่าวสารที่บุคลากรจะได้รับคำสั่งไป ปฏิบัติเพื่อรับข่าวสารแล้วก็ไปดำเนินการ
ให้ถูกต้อง สุดท้ายผู้บริหารจะต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าบุคลากรทุกคนต้องมีความสนใจต่อกิจกรรมต่าง ๆ พยายามที่จะถ่ายทอดข่าว
สารเกี่ยวกับหน่วยงานให้บุคลากรทุกคนได้รับรู้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และก็รวดเร็ว

คคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคค

การสื่อสารที่ดี
for everyone

ลักษณะของการสื่อสารที่ดี

การส่งสารโดยการพูดหรือการเขียน ที่จะทำให้เกิดประสิทธิผลต่อการดำเนินธุรกิจ ควรมีลักษณะสำคัญ ดังนี้
1. ความน่าเชื่อถือ (Credibility) หมายถึง สารที่สามารถทำให้ผู้รับสารเกิดความเชื่อถือในสารนั้น
2. มีสาระ (Content) หมายถึง สารนั้นมีสาระ ให้ความพึงพอใจ เร่งเร้า และชี้แนะให้เกิดการตัดสินใจ
3. ชัดเจน (Clearity) หมายถึง การเลือกใช้คำ หรือข้อความที่เข้าใจง่าย ข้อความไม่คลุมเครือ
4. เหมาะสมกับโอกาส (Context) หมายถึง การเลือกใช้ภาษาและวิธีส่งสาร ตลอดจนผู้รับได้เหมาะสมกับสังคม
วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม
5. ช่องทางการส่งสาร (Channels) หมายถึง การเลือกวิธีการส่งข่าวสารได้เหมาะสมและรวดเร็วที่สุด
6. ความต่อเนื่องและแน่นอน (Continuity and Consistency) หมายถึง การสื่สารที่กระทำอย่างต่อเนื่อง มีความ
แน่นอนถูกต้อง
7. ความสามารถของผู้รับสาร (Capability of Audience) หมายถึง การเลือกใช้วิธีการส่งสารซึ่งมั่นใจว่าผู้รับสาร
จะสามารถรับสารได้ง่ายและสะดวก โดยคำนึงถึงความรู้ เจตคติ อุปนิสัย ทักษะการใช้ภาษา สังคมและ
วัฒนธรรมของผู้รับสารเป็นสำคัญ

การใช้ภาษาสื่อสารธุรกิจ เช่น การประชาสัมพันธ์ การเขียนข้อความโฆษณา มีการเปลี่ยนแปลงไปตามสมัย
หรือสภาพความเป็นจริงในสังคม วัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังมีอิทธิพลที่สามารถกำหนดพฤติกรรม
ทัศนคติ และความเชื่อของประชาชน ซึ่งส่งผลให้ภาษาเปลี่ยนแปลงมาจากสภาพสังคม การเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม
การใช้ภาษาจึงมีความสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะการใช้ภาษาสื่อสารทางธุรกิจ เช่นการโฆษณาผ่านสื่อมวลชนประเภทต่าง ๆ
ซึ่งเป็นการเผยแพร่ได้รวดเร็ว มีผู้รับสารจำนวนมาก และถึงตัวผู้รับ ผู้ส่งสารควรคำนึงถึงผลประโยชน์ต่อสังคม และ
ประเทศชาติ มิใช่มุ่งหวังผลกำไรจากการประกอบธุรกิจเพียงอย่างเดียว


ข้อควรคำนึงเกี่ยวกับการใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร
1. ใช้คำที่กะทัดรัด เข้าใจง่าย สื่อความหมายได้ชัดเจน
2. ใช้คำสุภาพ เหมาะสมแก้โอกาส ไม่ใช้คำหรือข้อความที่ตีความหมายได้หลายทาง
3. ใข้ข้อความหรือประโยคที่ไพเราะ ไม่ใช้สำนวนหรือรูปประโยคของภาษาต่างประเทศ
4. ใช้ภาษาที่สร้างสรรค์สังคมและรักษาวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามของชาติไทย