30 ธันวาคม, 2552

อีกขั้นหนึ่งของการฝึกลูกให้เป็นนักกีฬา

อีกขั้นหนึ่งของการฝึกลูกให้เป็นนักกีฬา
จาก นิตยสารแม่และเด็ก M&C - อีกขั้นหนึ่งของการฝึกลูกให้เป็นนักกีฬา

พ่อแม่อเมริกันเมื่อรู้ลูกมีพรสวรรค์ทางกีฬา จะจ้างโค้ชส่วนตัวให้ทำหน้าที่พัฒนาฝีมือการเล่น เพราะการเล่นกีฬาเก่งในสังคมอเมริกัน เป็นประตูไปสู่การมีอาชีพที่มั่งคั่งและมากมายด้วยชื่อเสียง นอกนั้นแล้ว ยังจะประหยัดค่าเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เพราะทุกมหาวิทยาลัยในอเมริกาจะมีทุนการศึกษาสำหรับผู้มีพรสวรรค์ทางกีฬา
ทั้งนี้ ในสมัยที่ผ่านมา โค้ชที่จ้างส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เคยเล่นกีฬาที่ตัวเองสอน จนมีชื่อเสียงพอสมควร และพร้อม ๆ กับเรียนจบพลศึกษา ซึ่งสิ่งที่พวกนี้จะสอนคือ การออกกำลัง การฝึกการเล่น การกินอาหาร และการพักผ่อน โดยกำหนดเป็นตาราง แล้วให้ปฏิบัติตาม พร้อมกับมีการติดตามผลทุกระยะ
แต่พอมาถึงสมัยนี้ การสอนเช่นนี้ไม่เพียงพอเสียแล้ว เพราะเคล็ดต่างๆ ได้ถูกเปิดเผยหมด ไม่มีอะไรที่คนอื่นไม่รู้ เพียงเปิดนิตยสาร เปิดคอมพิวเตอร์หาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต หรือไปซื้อหนังสือมาอ่าน พ่อแม่ที่อยากให้ลูกเล่นกีฬาเก่ง ก็สามารถเป็นโค้ชเองได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ การฝึกจึงต้องก้าวขึ้นไปอีกขั้น
นั่นคือ การส่งลูกไปฝึกตามโรงยิมที่เรียกว่า sports performance training center หรือศูนย์ฝึกสมรรถภาพทางกีฬา ที่กำลังเปิดกันราวกับดอกเห็ด ซึ่งที่ศูนย์นี้เด็กที่โชว์แววทางกีฬา จะได้รับการฝึกเกี่ยวกับการเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อและกำลังจิตใจ เพื่อจะได้เล่นกีฬาเก่งขึ้นอีก และมีโอกาสเป็นนักกีฬาดีเด่นมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ศูนย์ดังกล่าวส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ ซึ่งขณะนี้ที่เด่นดังที่สุดมีด้วยกัน 3 ยี่ห้อ Velocity ซึ่งเปิดทั่วประเทศ มีนักกีฬาเด็กเข้าฝึกประจำ 47,000 คน Athletic Republic เปิดทั่วประเทศเช่นกัน มี 36,000 คน และ CATZ เปิดเพียง 4 รัฐ มี 6,500 คน จำนวนอาจดูน้อย แต่ถ้าเทียบกับของปีก่อนๆ เป็นจำนวนที่โตเร็ว อย่าง Velocity ซึ่งมีผู้เข้าฝึกปีแรกเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เพียง 10,000 คน Athletic Republic มี 27,000 คน ตอนเปิดปีแรก 2 ปีที่แล้ว และ CATZ มี 1,500 คน ตอนเปิดปีแรกปีกลาย
โดยทุกคนจะเข้าไปด้วยความสมัครใจ เพราะส่วนใหญ่รู้เรื่องการฝึกดีอยู่แล้ว และเคยทราบมาก่อนแล้ว การฝึกเพื่อเพิ่มสมรรถภาพทำไมถึงดี ซึ่งแต่ก่อนการฝึกแบบนี้จะมีเฉพาะที่เป็นโรงยิมของมหาวิทยาลัย หรือสโมสรกีฬาของคนชั้นสูง เนื่องจากจะต้องใช้เนื้อที่มาก เพื่อจะได้พอสำหรับการวิ่งและการกระโดด และจะต้องใช้เครื่องมือทันสมัย ที่เป็นเครื่องมือออกแบบเฉพาะ ยกตัวอย่างเช่น เครื่องวิ่งออกกำลังบนสายพาน ที่สามารถปรับความเร็วให้เร็วขึ้นหรือช้าลง คล้ายกับการวิ่งของนักกีฬาในสนาม เพื่อผู้ฝึกจะได้รู้จักกำหนดการวิ่ง ให้ตรงตามสถานการณ์การเล่น เช่น เวลาจะแย่งลูก เพราะอย่างที่ทราบ การแย่งลูกมีความสำคัญ ถ้าใครแย่งลูกเก่ง มักเป็นนักกีฬาเก่งไปด้วย
แต่โดยรวม ผู้ที่ไปฝึกจะไปเพราะความโอ่อ่าของศูนย์ ซึ่งเป็นโรงยิมที่ได้รับการออกแบบอย่างดี และมีสถานที่บริการครบครัน ไม่ว่าจะเป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ห้องอาบน้ำ หรือห้องพักผ่อน ทำให้เวลาเข้าไป รู้สึกเหมือนโรงยิมส่วนตัว ต้องการอะไร มีทั้งนั้น
และยังมีประเด็นของโค้ชหรือครูฝึกที่นี่ ซึ่งจะต่างกับที่โรงเรียนหรือที่จ้างส่วนตัว ตรงที่ส่วนมากจะเป็นผู้ชำนาญด้านสรีรศาสตร์ออกกำลัง หรือ EXERCISE PHYSIOLOGIST คือพวกนี้จะเคยเป็นนักกีฬาเหมือนโค้ชทั่วไป รวมทั้งเคยเรียนพลศึกษา แต่หลังจากนั้นจะไปเรียนเพิ่มทางด้านสรีรศาสตร์ เพื่อจะได้ความรู้เกี่ยวกับการใช้กล้ามเนื้อและมันสมองในการเล่นกีฬา
นัยว่า ใครเรียนมาทางนี้ ตอนนี้กำลังเป็นที่ต้องการ เนื่องจากอย่างที่บอกแล้ว ตอนนี้การฝึกเพื่อเป็นนักกีฬาได้ก้าวถึงระดับฝึกเพื่อเพิ่มสมรรถภาพทางกีฬา ค่าฝึกตกระหว่าง 30 - 40 เหรียญต่อครั้ง ซึ่งนอกจากจะได้ฝึกตามที่กำหนดเป็นตาราง ยังจะได้คำแนะนำและข้อสังเกตจากนักสรีรศาสตร์ออกกำลัง เพื่อนำไปปรับปรุงและปฏิบัติเพิ่มเติม เวลาฝึกที่บ้านหรือโรงเรียน ทั้งนี้การฝึกทั้งที่บ้านและโรงเรียนยังมีความสำคัญ เพราะการไปฝึกที่ศูนย์จะไปกันเพียงเดือนละ 2 - 4 ครั้ง มากน้อยขึ้นอยู่กับอายุและความจำเป็นในการเตรียมร่างกาย อย่างเช่น ถ้าเป็นเวลาใกล้ฤดูแข่งขัน ก็คงต้องไปบ่อย เพื่อร่างกายจะได้ทันการใช้งาน
ใครก็ได้สามารถไปฝึก ถ้ามีอายุ 8 ขวบขึ้นไป แต่ส่วนใหญ่จะมีอายุระหว่าง 12 - 15 ปี ซึ่งเป็นวัยที่เด็กมักตัดสินใจ แล้ว อยากเป็นนักกีฬาดัง และพ่อแม่มองเห็นพรสวรรค์ในตัวลูก รวมทั้งเป็นวัยที่ร่างกายกำลังโตวันโตคืน เหมาะกับการปรับให้ตรงตามความต้องการของกีฬาประเภทที่อยากเอาดี
แต่มีเรื่องแปลกใจนิดหน่อย ในศูนย์ยังมีเด็กที่ไม่อยากเป็นนักกีฬาไปฝึก พวกนี้สังเกตง่ายจากการมีร่างกายไม่สมส่วน เช่น อ้วนหรือผอมไป นอกจากนี้ยังมีท่าทางงกๆ เงิ่นๆ เวลาฝึก เนื่องจากไม่เคยออกกำลัง อย่าว่าแต่เล่นกีฬา ซึ่งสาเหตุที่ไปฝึกคือ พ่อแม่เองส่งไป เพราะอยากให้ลูกมีร่างกายเหมือนเพื่อน รวมทั้งอยากให้ลูกเล่นกีฬาบ้าง
แน่นอน เมื่อไปตอนแรกๆ เด็กพวกนี้ย่อมมีความลำบากในการปรับตัว เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำ ไหนจะต้องฝึก ไหนจะต้องรู้จักกินอาหาร ไหนจะต้องรู้จักพักผ่อน แต่ถ้าไปเป็นประจำและปฏิบัติตามตาราง ต่อไปเด็กจะกลายเป็นคนละคน จนพ่อแม่อดไม่ได้ที่จะภูมิใจ
การส่งลูกไปฝึกที่ศูนย์เพิ่มสมรรถภาพทางกีฬา เป็นการเลี้ยงลูกอีกวิธีที่น่าจะมีพ่อแม่ไม่น้อยสนใจ เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าประเทศไหน พ่อแม่มักอยากให้ลูกเรียนเก่ง เพื่อจะได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย และจบออกมามีงานทำที่ดี โดยขณะเดียวกัน มีเหมือนกันพ่อแม่ที่อยากให้ลูกเก่งทางดนตรีหรือการแสดง เพื่อจะได้โตเป็นนักร้องและนักแสดง ซึ่งเป็นอาชีพที่คนไม่น้อยใฝ่ฝัน
แต่ล่าสุด ยังมีพ่อแม่ที่อยากให้ลูกเล่นกีฬาเก่ง เพื่อจะได้โตเป็นนักกีฬาอาชีพ ซึ่งพ่อแม่แบบในไทยกำลังทวีจำนวน

ไม่มีความคิดเห็น: